แอดมิชชั่น หรือ Admission ชื่อเต็มๆว่า ระบบกลางคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา (Central University Admissions System: CUAS) ดูแค่ชื่อก็น่าจะทราบกันดีแล้วว่าแอดมิสชั่นคือระบบสอบกลางที่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่า ที่มีความต้องการจะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ต้องสอบ แล้วนำคะแนนสอบที่ได้มายื่นเลือกคณะกันอีกที
ระบบแอดมิชชั่นนี้ บริหารงานโดย สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า สทศ. โดยที่หน้าที่ของสทศ. คือพัฒนาข้อสอบเพื่อวัดและประเมินมาตรฐานการศึกษา วัดความรู้ความสามารถของผู้เข้าสอบแต่ละคน สทศ.จะรับผิดชอบการประเมินผลด้านการศึกษาให้กับนักเรียนที่เรียนหลักสูตรไทย ในประเทศไทย หลายครั้งด้วยกันคือ ป.3, ป.6, ม.3, และ ม.6 แต่ในการสอบแอดมิชชั่นนั้นจะนับกันเฉพาะ การสอบวัดผลในระดับชั้น ม.6 เท่านั้น
ยังมีอีก 1 องค์การที่จะไม่กล่าวถึงก็คงจะไม่ได้ คือ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้วางมาตรฐานหลักสูตรการศึกษาให้กับโรงเรียนต่างๆในประเทศไทย เรียกง่ายๆว่า กระทรวงศึกษาเป็นผู้กำหนดหลักสูตร โรงเรียนมีหน้าที่สอนนักเรียนตามหลักสูตร และสทศ.มีหน้าที่สอบวัดผลโรงเรียนและนักเรียนแต่ละคนตามหลักสูตรนั่นเอง
กลับเข้าเรื่องแอดมิชชั่นกันต่อว่า มีวิชาอะไรบ้างที่จะต้องสอบกัน
1. O-NET (Ordinary National Education Test) หรือการสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน ในตอนนี้จะพูดถึงการสอบ O-NET ในระดับชั้น ม.6 เพียงอย่างเดียว แนวคิดของ O-NET คือ การวัดผลของโรงเรียนแต่ละโรงเรียนว่า ได้สอนนักเรียนของตัวเองตามหลักสูตรกระทรวงขนาดไหน ข้อสอบ O-NET นี้จะเป็นข้อสอบง่ายๆที่วัดเฉพาะพื้นฐานจริงๆเท่านั้น
2. GAT (Genetal Aptitude Test) หรือมีชื่อเป็นภาษาไทยสั้นๆว่า การสอบความถนัดทั่วไป ซึ่งจะเน้นเนื้อหาทางด้าน การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์การแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ รวมไปถึงการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ข้อสอบ GAT นี้จะมีความซับซ้อนมากกว่าความยาก
3. PAT (Professional Aptitude Test) หรือมีชื่อเป็นภาษาไทยสั้นๆว่า การสอบความถนัดเฉพาะด้าน/วิชาการ เป็นข้อสอบที่ยากที่สุดในสามตัวที่พูดถึง วิชาเฉพาะด้านที่มีสอบคือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ พื้นฐานวิศวกรรม พื้นฐานสถาปัตยกรรม พื้นฐานความเป็นครู และวิชาด้านภาษาอื่นๆนอกเหนือจากภาษาอังกฤษ
สอบเสร็จแล้วก็นำคะแนนที่ได้มา ไปยื่นเลือกคณะ
การสอบแอดมิชชั่นจะสอบรวมกันทีเดียวเลย แล้วจะนำคะแนนของวิชาไหนมายื่นบ้างก็เป็นเรื่องของแต่ละคณะจะกำหนดกันเอาเอง รวมกับ เกรดเฉลี่ยในระดับชั้นมัธยมปลาย (GPAX) มาร่วมคำนวนด้วย โดยน้ำหนักของคะแนนสอบแต่ละส่วนจะแตกต่างกันไปตามมหาวิทยาลัยและคณะ การคิดคะแนนจึงค่อนข้างยุ่งยาก เมื่อนำคะแนนทั้งหมดสี่ส่วนมารวมกันเป็นคะแนนสุดท้าย แล้วนำคะแนนสุดท้ายที่ว่านี้มาทำการยื่นเลือกคณะอีกทีนึง
การจะดูว่าคณะไหนต้องการคะแนนวิชาอะไรเท่าไหร่บ้าง หาไม่ยากครับ ที่ ห้องแนะแนว ของทุกๆโรงเรียนมีข้อมูลและเอกสารมากมายให้ศึกษา หากข้อมูลเยอะเกินไปจนขี้เกียจอ่านเองก็ลองใช้ทางลัด ถามอาจารย์แนะแนวดูก็ได้ครับ อาจารย์ยินดีให้คำปรึกษากับน้องๆทุกคนแน่นอนครับ อย่าเขิน อย่าอาย อย่างน้อยไปห้องแนะแนวก็ได้ตากแอร์ (หรือพัดลม) เย็นกว่าตากแดดที่สนามแน่ๆ
มีคณะไหนบ้างที่ไม่รับผ่านระบบแอดมิชชั่น
จะมีข้อยกเว้นเกี่ยวกับการแอดมิชชั่นอยู่บ้าง เนื่องจากมหาวิทยาลัยหลายๆที่ไม่มีความเชื่อมั่นในการสอบแอดมิชชั่น จึงได้จัดการสอบตรงขึ้น โดยเฉพาะคณะทางด้านแพทย์ส่วนใหญ่จะรับเฉพาะการสอบตรง ไม่ค่อยจะได้เห็นคณะด้านแพทย์ที่รับเด็กที่ผ่านการสอบแอดมิชชั่นเท่าไหร่กันนัก และยังเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็วด้วย บางมหาวิทยาลัยรับผ่านแอดมิชชั่นปีที่แล้วแต่ไม่รับผ่านแอดมิชชั่นปีนี้ ต้องติดตามข่าวกันอย่างละเอียดปีต่อปีกันเลยทีเดียว ตรงกันข้ามกับการสอบตรงซึ่งรับทุกปี
หากน้องๆต้องการเรียนต่อด้านแพทย์ ก็ควรจะเน้นไปที่การสอบตรงมากกว่าแอดมิชชั่นครับ
ที่มา : http://www.tewfree.com
วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
[Review] หนังสือดี! ที่เกิดเป็นเด็กม.ปลายทั้งทีต้องมีไว้ครอบครอง! (2)
1. ENGLISH
นี่เป็นเซ็ตหนังสือของ "ดร.ศุภวัฒน์" นะคะ เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นหน้าตามาก่อนแล้ว เพราะหนังสือเค้าขายดีจริงอะไรจริง ใครสนใจเรื่องไหนไปหามาได้นะคะ สิ่งที่จขกท.ชอบก็คือ รูปเล่มที่สวยมากกก หนังสือสวย เนื้อหาเข้าใจ โจทย์ดีมากกกกกกกกกกกกกกกกกก สรุปคือ เพอร์เฟ็ก ! ><
AX 25-YEAR ABSOLUTE EXAM KIT หนังสือรวมข้อสอบภาษาอังกฤษเข้ามหาวิทยาลัย 25 พ.ศ.
ถ้าใครบอกว่าไม่รู้จัก "ครูพี่แนน" จขกท.ไม่เชื่อนะ =*= ครูพี่แนนแต่งหนังสือเล่มนี้ด้วยใจจริงๆ ข้อสอบดีมาก ทำหันไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว ครูพี่แนนเคยบอกว่า "ทำโจทย์" คือสิ่งที่สำคัญมาก หนังสือเล่มนี้ซื้อมาไม่เสียดายตังค์แน่นอนค่ะ
2. ภาษาไทย
เป็นหนังสือข้อสอบของ "อาจารย์ปิง" แห่ง ดาว้องส์ ไม่มีคำบรรยายสำหรับหนังสือทุกเล่มที่ อ.เขียน แต่อ.ปิงสอนด้วยใจ ทำหนังสือด้วยใจ ใครเคยเรียนกะอ.ปิงจะรู้ว่าอ.ปิงทุ่มเทมากๆ เอาไว้ทำเพิ่มความมั่นใจก่อนสอบนะคะ
หนังสือ "แบบเลียนภาษาไทย" ของครูลิลลี่ เป็นสรุปเนื้อหาภาษาไทยให้กระชับ เข้าใจง่าย อ่านแล้วไม่เหมือนอ่านหนังสือเรียนเลยค่ะ ครูลิลลี่เขียนได้สนุกมากๆ ^_^
3. สังคม
"สรุปสังคมมัธยมปลาย" เล่มนี้กำลังขายดีในศูนย์หนังสือจุฬาค่ะ เล่มนี้รูปเล่มสวยงาม เขียนได้กระชับมากๆ >< ตอบโจทย์มากๆค่ะ
หนังสือสังคมของอ.ปิงค่ะ โจทย์ดีมากๆๆๆ >____________< ต้องมีไว้สักเล่มนะคะ การันตีดี
ชัวร์ค่ะ
หนังสือของ "อ.ชัย" ค่ะ โจทย์ครอบคลุม หลายหลาย และได้ความรู้ไปในตัว อ.เก็งตรงมากๆค่ะ >< ลองซื้อไปทำดูนะคะ เพลินดี
ที่มา : http://blog.lnw.co.th/
นี่เป็นเซ็ตหนังสือของ "ดร.ศุภวัฒน์" นะคะ เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นหน้าตามาก่อนแล้ว เพราะหนังสือเค้าขายดีจริงอะไรจริง ใครสนใจเรื่องไหนไปหามาได้นะคะ สิ่งที่จขกท.ชอบก็คือ รูปเล่มที่สวยมากกก หนังสือสวย เนื้อหาเข้าใจ โจทย์ดีมากกกกกกกกกกกกกกกกกก สรุปคือ เพอร์เฟ็ก ! ><
AX 25-YEAR ABSOLUTE EXAM KIT หนังสือรวมข้อสอบภาษาอังกฤษเข้ามหาวิทยาลัย 25 พ.ศ.
ถ้าใครบอกว่าไม่รู้จัก "ครูพี่แนน" จขกท.ไม่เชื่อนะ =*= ครูพี่แนนแต่งหนังสือเล่มนี้ด้วยใจจริงๆ ข้อสอบดีมาก ทำหันไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว ครูพี่แนนเคยบอกว่า "ทำโจทย์" คือสิ่งที่สำคัญมาก หนังสือเล่มนี้ซื้อมาไม่เสียดายตังค์แน่นอนค่ะ
2. ภาษาไทย
เป็นหนังสือข้อสอบของ "อาจารย์ปิง" แห่ง ดาว้องส์ ไม่มีคำบรรยายสำหรับหนังสือทุกเล่มที่ อ.เขียน แต่อ.ปิงสอนด้วยใจ ทำหนังสือด้วยใจ ใครเคยเรียนกะอ.ปิงจะรู้ว่าอ.ปิงทุ่มเทมากๆ เอาไว้ทำเพิ่มความมั่นใจก่อนสอบนะคะ
หนังสือ "แบบเลียนภาษาไทย" ของครูลิลลี่ เป็นสรุปเนื้อหาภาษาไทยให้กระชับ เข้าใจง่าย อ่านแล้วไม่เหมือนอ่านหนังสือเรียนเลยค่ะ ครูลิลลี่เขียนได้สนุกมากๆ ^_^
3. สังคม
"สรุปสังคมมัธยมปลาย" เล่มนี้กำลังขายดีในศูนย์หนังสือจุฬาค่ะ เล่มนี้รูปเล่มสวยงาม เขียนได้กระชับมากๆ >< ตอบโจทย์มากๆค่ะ
หนังสือสังคมของอ.ปิงค่ะ โจทย์ดีมากๆๆๆ >____________< ต้องมีไว้สักเล่มนะคะ การันตีดี
ชัวร์ค่ะ
หนังสือของ "อ.ชัย" ค่ะ โจทย์ครอบคลุม หลายหลาย และได้ความรู้ไปในตัว อ.เก็งตรงมากๆค่ะ >< ลองซื้อไปทำดูนะคะ เพลินดี
ที่มา : http://blog.lnw.co.th/
5 แนวคิดง่ายๆ ที่จะทำให้ VDO ของคุณประสบความสำเร็จ
ทำให้เกิดการพูดถึง (Viral)
การสร้าง Viral ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้วีดีโอของคุณเป็นที่รู้จัก คือการทำให้เกิดการบอกต่อ การแชร์ เกิดการพูดถึง หรือกลายเป็นกระแส แต่การที่จำทำให้วีดีโอของคุณเกิด Viral หรือการบอกต่อ แชร์ต่อนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเลย โดยหลักการง่ายๆ สำหรับการสร้าง Viral คือ คลิปของคุณต้อง เจ๋ง อำ ขำ เซ็กส์ รู้สึกดี คาวาอี้ !!! จนผู้ชมดูแล้วอดไม่ได้ที่จะแชร์ต่อ เพราะฉะนั้นถนัดแนวไหนก็ดันไปให้สุดเลย :)
ทำให้ผู้เข้าใช้ (User) มีส่วนร่วมในวีดีโอของคุณด้วย
วิธีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำวีดีโอของคุณมีความน่าสนใจ เพราะการที่ทำให้ผู้ชมเข้าไปมีบทบาท หรือมีส่วนร่วมกับคลิปวีดีโอได้นั้น จะทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นตาตื่นใจ สนุก และลุ้นว่าผลที่ตัวเองได้เลือกไปนั้นจะออกมาเป็นอย่างไร จึงทำให้เกิดการแชร์หรือบอกต่อออกไปได้ง่ายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การทำให้ผู้ชมมีส่วนร่วมยังช่วยทำให้ผู้ชมเข้าใจสิ่งที่เราต้องการสื่อมากขึ้นอีกด้วย
ทำให้ง่ายที่สุด (Easy)
ง่ายในที่นี้คือ เข้าใจง่าย ใช้งานง่าย ความง่ายถือเป็นจุดสำคัญในการรับชมคลิปวีดีโอ เนื้อหาต้องเข้าถึงได้ง่าย ไม่ซับซ้อน และเกี่ยวเนื่องไปถึงความยาวของคลิปวีดีโอที่จะต้องทำให้คนเข้าใจได้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด เวลาที่เหมาะสมที่สุดคือไม่เกิน 3 นาที (ถ้ายาวเกินกว่านั้นผู้ชมส่วนใหญ่จะเลิกดูหรือลดความสนใจลง) หากมีเนื้อหาเยอะ จะต้องเดินเรื่องให้มีความน่าสนใจตลอดเวลาเพื่อตรึงผู้ชมให้ดูจนจบ ดังนี้ความง่ายก็เป็นอีกจุดนึงที่ไม่ควรมองข้ามนะคะ
เน้นหรือโฟกัสแค่เรื่องเดียว ให้เนื้อหามีความชัดเจน (Clear)
ความชัดเจนเป็นอีกจุดที่ละเลยไปไม่ได้เลย เพราะหากผู้ชมไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ ก็เท่ากับว่าวีดีโอของเราล้มเหลวไม่เป็นท่า วิธีการแก้ไขนั่นก็คือ เนื้อหาที่ใช้ต้องไม่โยงหลายเรื่องจนเกินไป ควรจะเน้นให้เห็นชัดเจนเฉพาะเรื่องที่สำคัญๆเท่านั้น โฟกัสให้เข้าใจได้ชัดเจน ว่าต้องการสื่อถึงอะไร เพื่ออะไร ให้ตรงประเด็นที่สุด
สนุก ( Funny) น่าติดตามและเป็นประโยชน์
สุดท้ายที่ขาดและลืมไม่ได้เลย คืออรรถรสในการรับชม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ผู้ชมรู้สึกสนุก โดยมีการดำเนินเรื่องแบบไม่น่าเบื่อ ทำให้ผู้ชมอยากติดตามต่อไปจนจบ ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นคือ เนื้อหาหรือข้อมูลในวีดีโอนั้นน่าจะให้ประโยชน์แก่ผู้รับชมด้วย เพราะหากผู้ชมรู้สึกว่าได้รับประโยชน์จากสิ่งที่รับชมอยู่ก็มีโอกาสสูงที่จะแชร์ออกไปได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ที่มา : http://blog.lnw.co.th/
การสร้าง Viral ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้วีดีโอของคุณเป็นที่รู้จัก คือการทำให้เกิดการบอกต่อ การแชร์ เกิดการพูดถึง หรือกลายเป็นกระแส แต่การที่จำทำให้วีดีโอของคุณเกิด Viral หรือการบอกต่อ แชร์ต่อนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเลย โดยหลักการง่ายๆ สำหรับการสร้าง Viral คือ คลิปของคุณต้อง เจ๋ง อำ ขำ เซ็กส์ รู้สึกดี คาวาอี้ !!! จนผู้ชมดูแล้วอดไม่ได้ที่จะแชร์ต่อ เพราะฉะนั้นถนัดแนวไหนก็ดันไปให้สุดเลย :)
ทำให้ผู้เข้าใช้ (User) มีส่วนร่วมในวีดีโอของคุณด้วย
วิธีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำวีดีโอของคุณมีความน่าสนใจ เพราะการที่ทำให้ผู้ชมเข้าไปมีบทบาท หรือมีส่วนร่วมกับคลิปวีดีโอได้นั้น จะทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นตาตื่นใจ สนุก และลุ้นว่าผลที่ตัวเองได้เลือกไปนั้นจะออกมาเป็นอย่างไร จึงทำให้เกิดการแชร์หรือบอกต่อออกไปได้ง่ายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การทำให้ผู้ชมมีส่วนร่วมยังช่วยทำให้ผู้ชมเข้าใจสิ่งที่เราต้องการสื่อมากขึ้นอีกด้วย
ทำให้ง่ายที่สุด (Easy)
ง่ายในที่นี้คือ เข้าใจง่าย ใช้งานง่าย ความง่ายถือเป็นจุดสำคัญในการรับชมคลิปวีดีโอ เนื้อหาต้องเข้าถึงได้ง่าย ไม่ซับซ้อน และเกี่ยวเนื่องไปถึงความยาวของคลิปวีดีโอที่จะต้องทำให้คนเข้าใจได้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด เวลาที่เหมาะสมที่สุดคือไม่เกิน 3 นาที (ถ้ายาวเกินกว่านั้นผู้ชมส่วนใหญ่จะเลิกดูหรือลดความสนใจลง) หากมีเนื้อหาเยอะ จะต้องเดินเรื่องให้มีความน่าสนใจตลอดเวลาเพื่อตรึงผู้ชมให้ดูจนจบ ดังนี้ความง่ายก็เป็นอีกจุดนึงที่ไม่ควรมองข้ามนะคะ
เน้นหรือโฟกัสแค่เรื่องเดียว ให้เนื้อหามีความชัดเจน (Clear)
ความชัดเจนเป็นอีกจุดที่ละเลยไปไม่ได้เลย เพราะหากผู้ชมไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ ก็เท่ากับว่าวีดีโอของเราล้มเหลวไม่เป็นท่า วิธีการแก้ไขนั่นก็คือ เนื้อหาที่ใช้ต้องไม่โยงหลายเรื่องจนเกินไป ควรจะเน้นให้เห็นชัดเจนเฉพาะเรื่องที่สำคัญๆเท่านั้น โฟกัสให้เข้าใจได้ชัดเจน ว่าต้องการสื่อถึงอะไร เพื่ออะไร ให้ตรงประเด็นที่สุด
สนุก ( Funny) น่าติดตามและเป็นประโยชน์
สุดท้ายที่ขาดและลืมไม่ได้เลย คืออรรถรสในการรับชม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ผู้ชมรู้สึกสนุก โดยมีการดำเนินเรื่องแบบไม่น่าเบื่อ ทำให้ผู้ชมอยากติดตามต่อไปจนจบ ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นคือ เนื้อหาหรือข้อมูลในวีดีโอนั้นน่าจะให้ประโยชน์แก่ผู้รับชมด้วย เพราะหากผู้ชมรู้สึกว่าได้รับประโยชน์จากสิ่งที่รับชมอยู่ก็มีโอกาสสูงที่จะแชร์ออกไปได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ที่มา : http://blog.lnw.co.th/
[Review] หนังสือดี! ที่เกิดเป็นเด็กม.ปลายทั้งทีต้องมีไว้ครอบครอง! (1)
1.ชีววิทยา
1.1 ชีววิทยา สำหรับนักเรียนมัธยมปลาย (BIOLOGY FOR HIGH SCHOOL STUDENTS) : เล่มนี้ต้องขอบอกว่าใครที่กำลังเตรียมแอด หรือสอบอะไรก็ตาม ใครไม่มีถือว่าน่าเสียดายนะเออ เล่มนี้ต้องขอบอกว่าเป็นเล่มที่เพอร์เฟกจนไม่มีที่ติเลยทีเดียว ทั้งเนื้อหาที่อ่านเข้าใจง่าย รูปประกอบที่พี่คนเขียนวาดเอง รวมทั้งจากการที่จขกท.ไปดูคอมเม้นหนังสือมา เล่มนี้แทบไม่มีคอมเมนต์ในด้านลบเลยทีเดียว สุดยอด ! ใครยังไม่มีไปหามาซะนะะคะ
1.2 ESSENTIAL BIOLOGY (หนังสือสรุปหลักชีววิทยาที่จำเป็นสำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาและการศึกษาต่อ : โฮะๆ เล่มนี้ จขกท.เชื่อว่าหลายคนมีไว้ครอบครองแล้ว แต่บางคนอาจยังไม่มีเพราะอาจจะดังไม่เท่ากับเล่มแรกที่เพิ่งรีวิวไป แต่อยากจะบอกว่าเนื้อหาไม่แพ้เล่มอื่นแน่นอน ด้วยรูปเล่มที่สวย กระดาษถนอมสายตา อีกทั้งเนื้อหาลึกได้ใจมาก !!
2.เคมี
ถ้าถามถึงหนังสือเคมี หนังสือของ ติวเตอร์พอยต์ เอาใจไปเลยค่ะ ทั้งรูปเล่มที่สวยมาก เนื้อหากระชับและดี เข้าใจง่ายๆมากๆ เอาเป็นนักเรียนม.ปลายสายวิทย์ทุกคนต้องมีกันเลยทีเดียว ของเค้าดีจริง สองเล่มนี้ ไปหามาครอบครองกันนะคะ ^^
3. ฟิสิกส์
มีเรื่องจะสารภาพค่ะ T_T จากที่ จขกท.สำรวจหนังสือมานานแสนนานแล้วถามเพื่อนๆและค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ผลคือ ยังไม่มีหนังสือฟิสกส์เล่มไหนที่เอาใจคนไปเต็มๆสักที เหนื่อยใจค่ะ ปัจจุบันที่บ้าน จขกท.ยังไม่มีหนังสือฟิสิกส์สักเล่ม มีแต่ของที่เรียนพิเศษ แต่มีเล่มนึงที่จขกท.อยากให้ไปลองซื้อมาดู (จขกท.ยังไม่ได้ซื้อ 5555 XD) คือเล่มนี้ค่ะ...
ฟิสิกส์ขนมหวาน เล่นี้ขายดีในศูนย์หนังสือจุฬาค่ะ ^^ เล่มนี้เริ่มกระแสดีขึ้นเรื่อยๆแล้วนะคะ คนนิยมซื้อมากขึ้นแล้วก็บอกว่าเข้าใจง่าย จขกท.ว่าปกสวยดีนะ 555 แต่ยังไม่ได้ซื้อเพราะไม่ถูกกะฟิสิกส์ ฮือออ เ
4.คณิต
ถ้าไปถามใครว่าหนังสือคณิตศาสตร์ของใครดี เชื่อว่าหลายคนคงแนะนำของพี่ "ณัฐ อุดมพาณิชย์"
หนังสือที่รีวิวไปข้างบนเป็นหนังสือที่พี่ณัฐแต่ง แต่ไม่จำเป็นต้องซื้อทั้งหมดเน้อ ^^ 555 ตัวเองจำเป็นต้องสอบแบบไหน ค่อยซื้อเล่มนั้น การันตีว่าดีทุกเล่มแน่นอน แล้วท้ายเล่มพี่ณัฐจะมีข้อคิดเกี่ยวกับการเรียนให้เราด้วยนะ
ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view/2753750/
1.1 ชีววิทยา สำหรับนักเรียนมัธยมปลาย (BIOLOGY FOR HIGH SCHOOL STUDENTS) : เล่มนี้ต้องขอบอกว่าใครที่กำลังเตรียมแอด หรือสอบอะไรก็ตาม ใครไม่มีถือว่าน่าเสียดายนะเออ เล่มนี้ต้องขอบอกว่าเป็นเล่มที่เพอร์เฟกจนไม่มีที่ติเลยทีเดียว ทั้งเนื้อหาที่อ่านเข้าใจง่าย รูปประกอบที่พี่คนเขียนวาดเอง รวมทั้งจากการที่จขกท.ไปดูคอมเม้นหนังสือมา เล่มนี้แทบไม่มีคอมเมนต์ในด้านลบเลยทีเดียว สุดยอด ! ใครยังไม่มีไปหามาซะนะะคะ
1.2 ESSENTIAL BIOLOGY (หนังสือสรุปหลักชีววิทยาที่จำเป็นสำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาและการศึกษาต่อ : โฮะๆ เล่มนี้ จขกท.เชื่อว่าหลายคนมีไว้ครอบครองแล้ว แต่บางคนอาจยังไม่มีเพราะอาจจะดังไม่เท่ากับเล่มแรกที่เพิ่งรีวิวไป แต่อยากจะบอกว่าเนื้อหาไม่แพ้เล่มอื่นแน่นอน ด้วยรูปเล่มที่สวย กระดาษถนอมสายตา อีกทั้งเนื้อหาลึกได้ใจมาก !!
2.เคมี
ถ้าถามถึงหนังสือเคมี หนังสือของ ติวเตอร์พอยต์ เอาใจไปเลยค่ะ ทั้งรูปเล่มที่สวยมาก เนื้อหากระชับและดี เข้าใจง่ายๆมากๆ เอาเป็นนักเรียนม.ปลายสายวิทย์ทุกคนต้องมีกันเลยทีเดียว ของเค้าดีจริง สองเล่มนี้ ไปหามาครอบครองกันนะคะ ^^
3. ฟิสิกส์
มีเรื่องจะสารภาพค่ะ T_T จากที่ จขกท.สำรวจหนังสือมานานแสนนานแล้วถามเพื่อนๆและค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ผลคือ ยังไม่มีหนังสือฟิสกส์เล่มไหนที่เอาใจคนไปเต็มๆสักที เหนื่อยใจค่ะ ปัจจุบันที่บ้าน จขกท.ยังไม่มีหนังสือฟิสิกส์สักเล่ม มีแต่ของที่เรียนพิเศษ แต่มีเล่มนึงที่จขกท.อยากให้ไปลองซื้อมาดู (จขกท.ยังไม่ได้ซื้อ 5555 XD) คือเล่มนี้ค่ะ...
ฟิสิกส์ขนมหวาน เล่นี้ขายดีในศูนย์หนังสือจุฬาค่ะ ^^ เล่มนี้เริ่มกระแสดีขึ้นเรื่อยๆแล้วนะคะ คนนิยมซื้อมากขึ้นแล้วก็บอกว่าเข้าใจง่าย จขกท.ว่าปกสวยดีนะ 555 แต่ยังไม่ได้ซื้อเพราะไม่ถูกกะฟิสิกส์ ฮือออ เ
4.คณิต
ถ้าไปถามใครว่าหนังสือคณิตศาสตร์ของใครดี เชื่อว่าหลายคนคงแนะนำของพี่ "ณัฐ อุดมพาณิชย์"
หนังสือที่รีวิวไปข้างบนเป็นหนังสือที่พี่ณัฐแต่ง แต่ไม่จำเป็นต้องซื้อทั้งหมดเน้อ ^^ 555 ตัวเองจำเป็นต้องสอบแบบไหน ค่อยซื้อเล่มนั้น การันตีว่าดีทุกเล่มแน่นอน แล้วท้ายเล่มพี่ณัฐจะมีข้อคิดเกี่ยวกับการเรียนให้เราด้วยนะ
ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view/2753750/
เทคนิคการใช้มุมกล้อง การซูมและการโฟกัส
มุมกล้อง
การถ่ายภาพในมุมที่ต่างกัน ยังมีผลต่อความคิดความรู้สึกที่จะสื่อความหมายไปยังผู้ดูได้ เราอาจแบ่งมุมกล้องได้เป็น 3 ระดับ คือ
1.ภาพระดับสายตา คือ การถ่ายภาพในตำแหน่งที่อยู่ในระดับสายตาปรกติที่เรามองเห็น ขนานกับพื้นดิน ภาพที่จะได้จะให้ความรู้สึกเป็นปรกติธรรมดา
2.ภาพมุมต่ำการถ่ายภาพในมุมต่ำ คือ การถ่ายในต่ำแหน่งที่ต่ำกว่าวัตถุ จะให้ความรู้สึกถึงความสูงใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าความเป็นจริง แสดงถึงความสง่า
3.การถ่ายภาพมุมสูง คือ การตั้งกล้องถ่ายในต่ำแหน่งที่สูงกว่าวัตถุ ภาพที่ได้จะให้ความรู้สึกถึงความเล็กความต้อยต่ำ ไม่มีความสำคัญ
เทคนิคการซูมและการโฟกัส
1.ในขณะที่ซูมไม่ควรเดินหรือเคลื่อนไหว เพราะจะทำให้วีดีโอที่ได้มีโอกาสสั่นไหวสูง
2.หากต้องการเคลื่อนที่ด้วยขณะซูม ขอแนะนำให้ดึงซูมออกมาให้สุดก่อน แล้วค่อยกดปุ่มบันทึก จากนั้นให้เดินเข้าไปแทนการซูมเลนส์
3.อย่าสนุกกับการซูมจนมากเกินไป เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่เพิ่มเริ่มเล่นกล้องมักจะชอบดึงซูมเข้า/ออก ทำให้ภาพที่ได้น่ามึนหัว เหมือนกำลังกระแทรกกำแพงโป๊กๆที่จริงแล้วการซูมจะทำเมื่อต้องการดูราย ละเอียดของเหตุการณ์ เพื่อบ่งบอกเรื่องราว หรือซูมออกเพื่อแสดงภาพรวมของเหตุการณ์นั้นๆ พูดง่ายๆ จะซูมก็ควรมีเหตุมีผลมีเรื่องราวที่จะเล่าจากการซูมจริงๆ
4.ควรหยุดซูมเสียก่อนค่อยเคลื่อนไหวกล้อง หรือซูมก่อนบันทึกภาพ จุดนี้จะช่วยให้วีดีโอที่ได้น่าสนใจมากขึ้น เช่น การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในท้องทะเล อาจจะตั้งกล้องซูมเข้าไปที่เรือจากนั้นกดปุ่มบันทึก แล้วค่อยๆซูมออกมาให้เห็นท้องทะเล
ที่มา : https://krubeenan.wordpress.com
การถ่ายภาพในมุมที่ต่างกัน ยังมีผลต่อความคิดความรู้สึกที่จะสื่อความหมายไปยังผู้ดูได้ เราอาจแบ่งมุมกล้องได้เป็น 3 ระดับ คือ
1.ภาพระดับสายตา คือ การถ่ายภาพในตำแหน่งที่อยู่ในระดับสายตาปรกติที่เรามองเห็น ขนานกับพื้นดิน ภาพที่จะได้จะให้ความรู้สึกเป็นปรกติธรรมดา
2.ภาพมุมต่ำการถ่ายภาพในมุมต่ำ คือ การถ่ายในต่ำแหน่งที่ต่ำกว่าวัตถุ จะให้ความรู้สึกถึงความสูงใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าความเป็นจริง แสดงถึงความสง่า
3.การถ่ายภาพมุมสูง คือ การตั้งกล้องถ่ายในต่ำแหน่งที่สูงกว่าวัตถุ ภาพที่ได้จะให้ความรู้สึกถึงความเล็กความต้อยต่ำ ไม่มีความสำคัญ
เทคนิคการซูมและการโฟกัส
1.ในขณะที่ซูมไม่ควรเดินหรือเคลื่อนไหว เพราะจะทำให้วีดีโอที่ได้มีโอกาสสั่นไหวสูง
2.หากต้องการเคลื่อนที่ด้วยขณะซูม ขอแนะนำให้ดึงซูมออกมาให้สุดก่อน แล้วค่อยกดปุ่มบันทึก จากนั้นให้เดินเข้าไปแทนการซูมเลนส์
3.อย่าสนุกกับการซูมจนมากเกินไป เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่เพิ่มเริ่มเล่นกล้องมักจะชอบดึงซูมเข้า/ออก ทำให้ภาพที่ได้น่ามึนหัว เหมือนกำลังกระแทรกกำแพงโป๊กๆที่จริงแล้วการซูมจะทำเมื่อต้องการดูราย ละเอียดของเหตุการณ์ เพื่อบ่งบอกเรื่องราว หรือซูมออกเพื่อแสดงภาพรวมของเหตุการณ์นั้นๆ พูดง่ายๆ จะซูมก็ควรมีเหตุมีผลมีเรื่องราวที่จะเล่าจากการซูมจริงๆ
4.ควรหยุดซูมเสียก่อนค่อยเคลื่อนไหวกล้อง หรือซูมก่อนบันทึกภาพ จุดนี้จะช่วยให้วีดีโอที่ได้น่าสนใจมากขึ้น เช่น การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในท้องทะเล อาจจะตั้งกล้องซูมเข้าไปที่เรือจากนั้นกดปุ่มบันทึก แล้วค่อยๆซูมออกมาให้เห็นท้องทะเล
ที่มา : https://krubeenan.wordpress.com
เทคนิคในการถ่ายวิดีโอ
การแพนกล้อง
การแพนกล้องที่ดีต้องมีจังหวะที่จะแพน
คือต้องมีจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดของการแพน
จุดนี้เองคนที่อยู่เบื้องหลังคอยตัดต่อภาพทั้งหลายมันเป็นเรื่องยุ่งยากที่
จะตัดต่อภาพ โดยมีภาพทีแกว่งไปแกว่งมา หรือวูบวามไปมา
เมื่อนำมาร้อยใส่ภาพนิ่งๆจะรู้สึกได้เลยว่าไม่เข้ากัน
พลอยทำให้ดูไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่ ไม่นิ่มนวลสมจริง บางครั้งรู้สึกว่าโดดไปโดดมา
หากจะให้ตัดต่อได้สะดวกและภาพสมบูรณ์ การแพนจะต้องมีจุดเริ่ม
คือเริ่มจากถือกล้องให้นิ่งเสียก่อน จากนั้นกดปุ่มบันทึกภาพแล้วค่อยแพน และจุดจบ
คือนิ่งทิ้งท้ายตอนจบอีกเล็กน้อย
เพื่อบอกคนดูให้เตรียมพร้อมและพักสายตาระหว่างชมภาพ
การบันทึกเป็นช็อต
“ช็อต” คือการเริ่มบันทึก เพื่อเริ่มเทปเดินและเริ่มบันทึกลงม้วนเทป
จนกระทั่งกดปุ่ม Rec อีกครั้ง เพื่อเลิกการบันทึก แบบนี้เค้าเรียกว่า 1 ช็อต
การถ่ายเป็นช็อคไม่ควรปล่อยให้ช็อตไม่ควรปล่อยให้ช็อตนั้นยืดยาวไปนัก
คือไม่ควรเกิน 5 วินาทีต่อ 1 ช็อต
วิธีการบันทึกเป็นช็อต
การ ถ่ายเป็นช็อตนี้ จะต้องเลือกมุม เลือกระยะที่จะถ่ายก่อน
เลือกว่าจะถ่ายแบบไหนที่จะได้องค์ประกอบครบถ้วน ยกกล้องขึ้นส่อง จัดองค์ประกอบ
แล้วถือให้นิ่ง กดบันทึก นับ 1-2-3-4-5 แล้วกดหยุด ในระหว่างกดบันทึกห้ามสั่น
ห้ามไหวเด็ดขาด วิธีการไม่ยากนัก โดยให้รอจังหวะ หลักการง่ายๆคือนิ่งๆเข้าไว้
และไม่จำเป็นต้องถ่ายทั้งหมดหรือถ่ายยืดยาว เลือกแค่เป็นช็อตสำคัญก็พอ
รูปแบบการบันทึกเป็นช็อต
Wide Shot (WS) “Extreme Long Shot” เป็นการถ่ายวิดีโอที่โชว์ภาพโดยรวม
หรือเปิดให้เห็นทั้งวัตถุหลักที่อยู่ท่รามกลางบรรยากาศรอบข้าง
Long Shot (LS) เป็นการซูมเข้ามาเพื่อเก็บรายละเอียดของวัตถุหลักมากขึ้น
แต่ยังคงเก็บภาพแวดล้อมรอบข้างไว้ด้วย เพื่อบอกเล่าเรื่องราว
Medium Shot ยังแบ่งเป็น Medium Long Shot,Medium
Shot,
Medium Ciose-up Shot (MCU) เป็นการเก็บรายละเอียดเฉพาะส่วนบนหรือครึ่งบนขอวัตถุหรือเรียกว่าการถ่ายภาพครึ่งตัวของภาพนั้นๆClose-up Shot (CU) เป็นการซูมให้เห็นเฉพาะวัตถุหลัก
โดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เพื่อให้เห็นว่าต้องการระบุ
รายละเอียดเฉพาะวัตถุเท่านั้น
ถ้าเป็นการถ่ายวิดีโอบุคคลก็จะเก็บภาพตั้งแต่ไหล่ขึ้นไป
ข้อดีของการบันทึกเป็นช็อต
ช็อตมุมกว้าง คือ บอกให้รู้สถานที่ และให้ได้รู้ว่าเป็นงานอะไร
สถานที่ที่ไหน หากว่าถ่ายเห็นป้ายของงงานเข้าไปด้วยยิ่งดี การถ่ายแบบนี้ดูเป็นเรื่องเป็นราว
บอกเล่าเรื่องราวตามลำดับขั้น
ว่ามีใครทำอะไรบ้างไม่ว่าจะเป็นงานพิธีหรือถ่ายกันเล่นๆ
เพราะว่าภาพจะสลับมุมต่างๆมาให้ชมเป็นระยะทำให้ไม่น่าเบื่อ
ช็อตการแพน การ ยกกล้องขึ้นลงการซูม การเล่นมุมกล้องแบบต่างๆ
หรือเล่นมุมกล้องเอียงก็ทำได้เช่นกัน
แต่ว่าต้องเริ่มต้นด้วยหลักการถ่ายเป็นช็อตๆให้กระชับและไม่ยืดยาดจะทำให้คนดูไม่เบื่อ
ที่มีแต่ภาพแข็งๆทื่อๆดูแล้วไม่มีชีวิตชีวา
เทคนิคการเคลื่อนที่กล้องโดยไม่ให้สั่นไหว
“การไวด์” หรือ” Wide Shot” เป็นวิธีที่ช่วยอำพรางการสั่นไหวของกล้องได้ซึ่งแม้ว่ากล้องจะสั่น
ภาพจะไหว แต่ก็ยังไม่เห็นความแตกต่างเพราะว่ามันมีภาพมุมกว้างที่หลอกตาอยู่
ถ้าหากต้องการที่จะเดินถือกล้องถ่ายแบบนี้ละก็ จะต้องเลือกระยะกล้องที่ไกลสุด
โดยการดึงภาพด้วยการซูมออกมา เรียกว่า”ลองช็อต“(Long Shot) เป็นประคองกล้องเดินช้าๆแบบนุ่มนวล
โดยไม่ต้องซุฒเข้าไปอีก ควรปล่อยให้เป็นภาพมุมกว้างเข้าไว้
การเดินก็สำคัญหากมัวแต่เดินจำพรวดทิ้งน้ำหนักตัวแบบเต็มที่แบบนี้ภาพที่ได้จะกระตุกเป็นจังหวะแน่ๆก็ขอแนะนำให้การเดินถ่ายกล้องนั้นต้องระวังทุกฝีเท้า
การเดินด้วยปลายเท้า เกร็งและย่อขาเล็กน้อยจะช่วยให้กล้องนิ่งและมั่นคงขึ้น
ช่วยให้เดินถ่ายวิดีโอได้อย่างมีคุณภาพ ภาพที่ได้จะนิ่งการถือกล้องแบบแบกบ่า
บางครั้งอาจจะไม่ถนัดสำหรับเดินถ่ายเสมอไป สามารถแก้ไขด้วยการลดกล้องมาอยู่ในมือ
ในอ้อมแขนนั้นจะเป็นการดี เพราะช่วยประคองกล้องได้อีกชั้นด้วยซ้ำไป
แถมอาจจะได้มุมที่แปลกตาไปจากการแบกบนบ่า
การถ่ายให้กระชับ
การถ่ายให้กระชับ หมายความว่า
การถ่ายวิดีโอที่พยายามให้ภาพนั้นสื่อความหมายในตัวเองมากที่สุด
โดยสามารถเล่าเรื่องราวได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร
นี่จะช่วยให้เราไม่ต้องเก็บภาพมามากมายและยืดยาว
ก็สามารถเข้าใจได้ว่าในเหตุการณ์นั้นๆเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ที่มา : https://krubeenan.wordpress.com/
7 วิธีอ่านหนังสือ อ่านอย่างไรให้ถึงฝัน
1. อ่านให้ลึก
การ อ่านของเด็ก ๆ มักจะอ่านเยอะ อ่านกว้าง แต่ไม่ลึก
ทำให้ไม่เข้าใจถึงแก่นของเรื่องที่อ่านได้อย่างชัดเจน
ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนวิธีการอ่านโดยการทำความเข้าใจกับแก่นของเรื่องที่ อ่าน
มากกว่าที่จะอ่านในปริมาณที่มากและรู้เพียงผิวเผิน
การอ่านหนังสือในแบบเดิมทำให้เกิดอาการเบื่อง่าย
การเปลี่ยนบทเรียนตัวอักษรในหนังสือให้กลายเป็นสื่อใหม่ ๆ เช่น เป็นหนังสือเสียง
ด้วยการอัดเสียงของตัวเองหรือเพื่อนเป็นข้อความตามบทเรียน หรือการทำเป็นแผนที่ความจำ
(Mind Map) เป็นต้น
3. หลีกเลี่ยงเทคโนโลยี
โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ และวิทยุ
เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในระหว่างการอ่านหนังสือ
หลายคนมักคิดไปเองว่าเราสามารถฟังเพลง ดูโทรทัศน์ คุยโทรศัพท์
หรือนั่งแชทกับเพื่อนไปพร้อม ๆ กับการอ่านหนังสือได้ แต่ความจริงเมื่อเราทำหลาย ๆ
สิ่งพร้อมกัน สมาธิที่ควรมีให้กับการอ่านจะถูกแบ่งไปทำอย่างอื่นด้วย
ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่อ่านได้น้อยลง
4. อย่ายุ่งกับ “คาง”
“โชค อิมิเน้นแอร์ เป็นรองก่อนฟันศอกเข้าปลายคาง เอาชนะทีเคโอ
เพชรอัศวิน ซีทรานเฟอร์รี่ ชนิดทีเดียวหลับสนิทไปในยกที่ 4” พาดหัวข่าวเด็ดนี้คงเป็นคำตอบว่า
ทำไมจึงไม่ควรไปยุ่งกับ “คาง” เนื่องจากประสาทสัมผัสบริเวณคางหากมีการ กดทับ
สัมผัส หรือนวด เป็นเวลานาน ๆ จะทำให้ร่างกายรู้สึกง่วง และหากถูกกระแทกแรง ๆ
อาจถึงขั้นสลบแบบนักมวยได้เลยทีเดียว
ดังนั้นเมื่ออ่านหนังสือควรหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ, นั่งเท้าคาง
หรือเอามือนวดบริเวณปลายคาง เพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับและการกระตุ้นประสาทสั่งการ “หลับ” ของร่างกายเราเอง
5. ปรับแสงให้เหมาะสม
จากการวิจัยพบว่า ความสว่างและมืดของไฟมีผลถึง 75% ต่อ
การอ่านหนังสือ
ไฟที่สลัวเกินไปจะทำให้รูม่านตาต้องขยายเพิ่มมากขึ้นเพื่อรับแสงและไฟที่
สว่างมากเกินไปทำให้รูม่ายตาหรี่เล็กกว่าปกติ
หรือบางครั้งต้องหยีตาลงเพื่ออ่านหนังสือ 2 ปัจจัยนี้ทำให้กล้ามเนื้อและประสาทตาเกิดอาการล้า
จนไม่สามารถอ่านหนังสือได้นาน มีผลทำให้ง่วง หรือปวดตา
(เนื่องจากสายตาต้องการพักผ่อน) ดังนั้นควรปรับแสง
หรืออ่านหนังสือในห้องที่มีแสงพอเหมาะจะดีที่สุด
6. อุปกรณ์เสริมไม่ต้อง!
อุปกรณ์เสริมในที่นี้หมายถึง ขนมและของกินทุกประเภท
โดยเฉพาะขนมขบเคี้ยวที่มีส่วนประกอบ 70 – 80% เป็นแป้งและโมโนโซเดียมกลูตาเมต
(ผงชูรส) เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะมีการเผาผลาญก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
เมื่อร่างกายรับ
CO2 เข้าไปในปริมาณมาก (จากอากาศที่หายใจและการเผาผลาญที่ไม่สมบูรณ์)
จะก่อให้เกิดอาการง่วงนอนและหลับได้ เปรียบได้กับคำที่ว่า “หนังท้องตึง
หนังตาก็หย่อน”
7. เคล็ดเด็ด เผ็ดพริกขี้หนู
แม้ว่าจะไม่ผ่านการรับรองผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศ
แต่พี่นัทยาขอยืนยันกับกลเม็ดแก้ง่วงวิธีนี้ นั่นคือ “เคี้ยวพริก”“รับรองว่าไม่มีอันตราย
ไม่มีผลข้างเคียง
แถมมีประโยชน์ต่อร่างกายเพราะพริกเป็นสมุนไพรไทยอย่างหนึ่งเช่นกัน” พี่นัทยายืนยันหนักแน่น
เพียงปลายพริกเล็ก ๆ 1 คำ พร้อมน้ำอุ่น 1 แก้ว ความเผ็ดร้อนจะกระจายไปทั่วทั้งปาก เปลือกตาที่เคยปรือ
ๆ จะกลับมาสดชื่นดังเดิมแน่นอน
ที่มา : พี่นัทยา เพ็ชรวัฒนา ผู้จัดรายการวิทยุจุฬาฯ (CU
Radio)http://campus.sanook.com
1. อ่านให้ลึก
การ อ่านของเด็ก ๆ มักจะอ่านเยอะ อ่านกว้าง แต่ไม่ลึก
ทำให้ไม่เข้าใจถึงแก่นของเรื่องที่อ่านได้อย่างชัดเจน
ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนวิธีการอ่านโดยการทำความเข้าใจกับแก่นของเรื่องที่ อ่าน
มากกว่าที่จะอ่านในปริมาณที่มากและรู้เพียงผิวเผิน
การอ่านหนังสือในแบบเดิมทำให้เกิดอาการเบื่อง่าย
การเปลี่ยนบทเรียนตัวอักษรในหนังสือให้กลายเป็นสื่อใหม่ ๆ เช่น เป็นหนังสือเสียง
ด้วยการอัดเสียงของตัวเองหรือเพื่อนเป็นข้อความตามบทเรียน หรือการทำเป็นแผนที่ความจำ
(Mind Map) เป็นต้น
3. หลีกเลี่ยงเทคโนโลยี
โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ และวิทยุ
เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในระหว่างการอ่านหนังสือ
หลายคนมักคิดไปเองว่าเราสามารถฟังเพลง ดูโทรทัศน์ คุยโทรศัพท์
หรือนั่งแชทกับเพื่อนไปพร้อม ๆ กับการอ่านหนังสือได้ แต่ความจริงเมื่อเราทำหลาย ๆ
สิ่งพร้อมกัน สมาธิที่ควรมีให้กับการอ่านจะถูกแบ่งไปทำอย่างอื่นด้วย
ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่อ่านได้น้อยลง
4. อย่ายุ่งกับ “คาง”
“โชค อิมิเน้นแอร์ เป็นรองก่อนฟันศอกเข้าปลายคาง เอาชนะทีเคโอ
เพชรอัศวิน ซีทรานเฟอร์รี่ ชนิดทีเดียวหลับสนิทไปในยกที่ 4” พาดหัวข่าวเด็ดนี้คงเป็นคำตอบว่า
ทำไมจึงไม่ควรไปยุ่งกับ “คาง” เนื่องจากประสาทสัมผัสบริเวณคางหากมีการ กดทับ
สัมผัส หรือนวด เป็นเวลานาน ๆ จะทำให้ร่างกายรู้สึกง่วง และหากถูกกระแทกแรง ๆ
อาจถึงขั้นสลบแบบนักมวยได้เลยทีเดียว
ดังนั้นเมื่ออ่านหนังสือควรหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ, นั่งเท้าคาง
หรือเอามือนวดบริเวณปลายคาง เพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับและการกระตุ้นประสาทสั่งการ “หลับ” ของร่างกายเราเอง
5. ปรับแสงให้เหมาะสม
จากการวิจัยพบว่า ความสว่างและมืดของไฟมีผลถึง 75% ต่อ
การอ่านหนังสือ
ไฟที่สลัวเกินไปจะทำให้รูม่านตาต้องขยายเพิ่มมากขึ้นเพื่อรับแสงและไฟที่
สว่างมากเกินไปทำให้รูม่ายตาหรี่เล็กกว่าปกติ
หรือบางครั้งต้องหยีตาลงเพื่ออ่านหนังสือ 2 ปัจจัยนี้ทำให้กล้ามเนื้อและประสาทตาเกิดอาการล้า
จนไม่สามารถอ่านหนังสือได้นาน มีผลทำให้ง่วง หรือปวดตา
(เนื่องจากสายตาต้องการพักผ่อน) ดังนั้นควรปรับแสง
หรืออ่านหนังสือในห้องที่มีแสงพอเหมาะจะดีที่สุด
6. อุปกรณ์เสริมไม่ต้อง!
อุปกรณ์เสริมในที่นี้หมายถึง ขนมและของกินทุกประเภท
โดยเฉพาะขนมขบเคี้ยวที่มีส่วนประกอบ 70 – 80% เป็นแป้งและโมโนโซเดียมกลูตาเมต
(ผงชูรส) เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะมีการเผาผลาญก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
เมื่อร่างกายรับ
CO2 เข้าไปในปริมาณมาก (จากอากาศที่หายใจและการเผาผลาญที่ไม่สมบูรณ์)
จะก่อให้เกิดอาการง่วงนอนและหลับได้ เปรียบได้กับคำที่ว่า “หนังท้องตึง
หนังตาก็หย่อน”
7. เคล็ดเด็ด เผ็ดพริกขี้หนู
แม้ว่าจะไม่ผ่านการรับรองผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศ
แต่พี่นัทยาขอยืนยันกับกลเม็ดแก้ง่วงวิธีนี้ นั่นคือ “เคี้ยวพริก”“รับรองว่าไม่มีอันตราย
ไม่มีผลข้างเคียง
แถมมีประโยชน์ต่อร่างกายเพราะพริกเป็นสมุนไพรไทยอย่างหนึ่งเช่นกัน” พี่นัทยายืนยันหนักแน่น
เพียงปลายพริกเล็ก ๆ 1 คำ พร้อมน้ำอุ่น 1 แก้ว ความเผ็ดร้อนจะกระจายไปทั่วทั้งปาก เปลือกตาที่เคยปรือ
ๆ จะกลับมาสดชื่นดังเดิมแน่นอน
ที่มา : พี่นัทยา เพ็ชรวัฒนา ผู้จัดรายการวิทยุจุฬาฯ (CU
Radio)http://campus.sanook.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)